คุณเคยคิดหรือไม่ว่า คนเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้จากอะไรบ้าง คนเรานั้นมีศักยภาพในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน สามารถเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสหลากหลาย บางคนใช้การสัมผัส บางคนใช้จินตนาการ บางคนใช้การขีดเขียน เพื่อเรียนรู้และก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคที่เผชิญอยู่
โดยปกติ รูปแบบการเรียนรู้ของเรามีหลายรูปแบบ ที่ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบและถนัดในรูปแบบใด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนจะเลือกเรียนรู้โดยใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เราสามารถปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ไปตามสถานการณ์ หรือ ประสบการณ์ที่ได้เผชิญมา แล้วสไตล์การเรียนรู้ของเราเป็นแบบไหนกันล่ะ ลองมาพิจารณาดูกันนะครับ
VAK Model คืออะไร มีอะไรบ้าง

การเรียนรู้โดยการมองเห็น (Visual)
คนที่จะเรียนรู้ในรูปแบบนี้ได้คือ คนที่สามารถเรียนรู้ได้ดีจากการมองเห็นและการอ่าน การมองเห็นภาพ ดูวิดีโอคลิป ดูสื่อวิดิทัศน์ อาจจะเป็นคนที่ฟังสิ่งใดแล้วจะมีภาพจินตนาการเป็นเรื่องราวในหัว เป็นคนที่ชอบดูรายละเอียดจากอีเมล มากกว่าการฟังจากโทรศัพท์ อีกทั้งยังเป็นคนที่สามารถสังเกตอาการ ท่าทางการแสดงออกจากผู้คนได้ดี และมีปฏิกิริยาตอบสนองไวต่อท่าทางของคู่สนทนา เช่น สามารถสังเกตได้ว่า ลูกค้ามีรอยยิ้ม หน้าตาสงสัย ไม่พอใจ หรือมีความกังวล
การเรียนรู้โดยการได้ยิน (Auditory)
คนที่เรียนรู้โดยการได้ยินนั้น เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการฟังและการพูด รวมถึงสามารถสื่อสารข้อมูลผ่านการฟังและการพูดได้ดี มักจะมีความสนใจเกี่ยวกับการได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ชอบการเรียนแบบนั่งฟังบรรยายจากผู้สอน ชอบนำเสนองานและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น บางคนชอบคุยโทรศัพท์มากกว่าการส่งอีเมลหรือข้อความ เวลาอ่านหนังสือมักชอบที่จะอ่านออกเสียงดัง และมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้มีรสนิยมทางเสียงดนตรี เพราะชอบฟังเพลง ฟังวิทยุ


การเรียนรู้ด้วยการสัมผัสหรือการลงมือทำ (Kinaesthetic)
คนที่เรียนรู้ด้วยการสัมผัสนั้น เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ดีจากการสัมผัส การกระทำ หรือประสบการณ์ที่เจอมา ชอบการได้พูดคนด้วยการสัมผัสตัว ชอบเคลื่อนไหวทางร่างกาย ชอบพบปะผู้คนมากกกว่าการส่งอีเมลหรือการโทรศัพท์ มักจะชอบการเรียนรู้นอกสถานที่ ชอบทำกิจกรรม แสดงละคร หรือ ชอบเล่นกีฬา
เป็นอย่างไรครับ พอเห็นภาพ VAK Model ทั้ง 3 รูปแบบกันแล้วใช่ไหมครับ คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วเราสามารถใช้ประโยชน์อะไรจากการเข้าในกระบวนการเรียนรู้นี้กับการทำงานของเรา
ก่อนอื่น ลองพิจารณาตัวเราเองก่อนว่า หากเราสามารถเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเราได้นั้นจะทำให้เราเข้าใจประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ของตัวเราเอง หากเราเป็นคนที่เรียนรู้โดยการฟัง เราก็สามารถเลือกพัฒนาตัวเราเองโดยการเรียนผ่านการสอนของอาจารย์หรือผู้ที่มีความรู้ หรือหากเราเรียนรู้ผ่านการสัมผัส การลงมือทำ เราก็จะสามารถหากิจกรรมหรือการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือทำ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของเราได้
นอกจากนี้ การเข้าใจ VAK นั้น สามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ลูกค้าได้อีกด้วย หากเราพิจารณากระบวนการเรียนรู้ของลูกค้าได้ เราจะสามารถใช้วิธีการนำเสนอสินค้าได้เหมาะสมกับจริตการเรียนรู้ของลูกค้าแต่ละรายได้ เช่น หากลูกค้าเราเป็นคนที่เรียนรู้โดยผ่านการสัมผัสหรือลงมือทำ เราก็ควรที่จะหาโอกาสให้ลูกค้ารายนั้น ๆ ได้ทดลองใช้สินค้า หรือได้เห็นสินค้าจริงที่เรานำเสนอ
อีกทั้งการที่เราเข้าใจกระบวนการเรียนรู้นี้ จะทำให้เราสามารถปรับรูปแบบการสื่อสารให้ตรงตามการรับรู้ของลูกค้าแต่ละราย จะทำให้เราสามารถสร้างความไว้วางใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อีกด้วย
อย่าลืมนะครับ การเรียนรู้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แนวคิด VAK ข้างต้นนี้เป็นแนวคิดหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเรา รวมถึงคนรอบข้างได้มากขึ้น เราควรเข้าใจความแตกต่างและปรับใช้อย่างผสมผสาน เพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเข้าใจกระบวนการเรียนรู้

หากท่านต้องการพัฒนาทักษะการผสมผสานกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพิ่มเติมในเรื่อง VAK Model ท่านสามารถติดต่อรายละเอียดได้ที่ DeOne Academy นะครับ
ดูรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่: In House
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
โทร : 098-424-5241
https://www.facebook.com/DeOneAcademy